วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ว่าด้วยโรค ผ่าตัดและหัตถการที่พบบ่อยของ ตาและอวัยวะเคียงลูกตา


เป็นการรวบรวมการวินิจฉัยทางตาและอวัยวะข้างเคียง จากประสบการณ์การทำงาน สอบถามผู้รู้ อ่าน Guideline และอีกหลากหลายที่มาที่ไป ..อ้อชี้แจงก่อนครับว่า เป็นข้อมูลเมื่อ สิงหาคม 2556 หากโลกเปลี่ยนแปลงไป ท่านสามารถปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม ได้ตามอัธยาศัย ไม่มีลิขสิทธิ์ใดๆ แต่หากวันใดท่านมีข้อมูลหรืออะไรใหม่ๆ เจ๋งๆ อย่าลืมเอามาแชร์ผมบ้างนะคร้าบ :) ....  

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พระสมเด็จ ช่วยชีวิต

          เมื่อครั้งยังจำความไม่ได้ แต่ที่รู้เพราะมีรูปถ่าย ปู่ผมได้มอบพระไว้ให้คุ้มครองป้องภัย สมัยก่อน (ประมาณ 2523 ปีที่ผมเกิด) แถวชุมชนหมู่บ้านที่ผมอยู่ก็อยู่ไม่ไกลจาก "ดงสีชมพู" ที่เป็นตำนาน ลิงค่าง บ่างชะนี แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่อย่าง เสือ สิงห์โต ช้างป่า ยังมีให้เห็นได้ไม่ยาก ... ฟังดูเหมือนมันนานมากแล้ว แต่เป็นเรื่องจริงที่พึ่งผ่านมา ร่วมๆ 40 ปี นี่เอง ... ปู่ ย่า ลุง ป้า น้า อา ครอบครัวยังอาศัยรวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ รวมอยู่ประจำ 20 คน ไปๆ มาๆ อีกซัก 10 คนได้ มีทุกวัย ทำให้ผมยังพอนึกภาพครอบครัวไทยแบบชนบทจริงๆได้อย่างติดตรึงในใจตลอดมา
           ด้วยอาชีพหลักของปู่เป็น "นายฮ้อย" ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงสมัยนั้นเลยมีคนร้จัก มีญาติทั้งสายตรงและญาติที่สมัครรักไคร่ด้วยความผูกพันธ์กันมาจำนวนมาก กลับมาเรื่องพระ...ด้วยความเชื่อเรื่องภูติผี วิญญาณร้ายทั้งหลาย เด็กๆมักจะได้รับของขลังจากผู้ใหญ่ให้ไว้คุ้มครอง ผมเองจำได้สมัยเด็ก พระผง พระเหรียญ รวมทั้ง ตระกุด ที่แขวนคอและรอบเอวไม่ต่ำกว่า 5 องค์ ... พอโตเข้าโรงเรียนก็เก็บไว้บนหิ้ง เหลือติดตัว 2-3 องค์ที่ไปใหนมาใหนด้วยกันตลอด ...
            ผ่นมาก็นานจนปัจจุบัน วันนึงว่างๆนึกอยากทำความสะอาดหิ้งพระ ก็ได้ไปเอาพระที่รวบรวมไว้ทั้งหมดมานั่งคัดใส่ตลับให้เรียบร้อย แยกพระกับวัตถุมงคลที่ไม่ใช่พระออกจากกัน มีพระในกรอบพลาสติกแบบสมัยก่อน 7-8 องค์ 1 ในนั้ยคือพระสมเด็จที่กำลังพูดถึง พอเสร็จก็เลยเอาพระสมเด็จในภาพ ติดตัวหวังจะหากรอบใหม่ แต่ยังไม่มีโอกาสและใส่เป้คู่ชีพไว้ ไปใหนมาใหนไปกันตลอด...

             ขยายขนาดใหญ่พิเศษให้เห็นภาพกันชัดๆ ตามภาพผมก็มีวิชาความรู้เกี่ยวกับพระนิดหน่อย เลยไม่กล้าฟันธงไปว่าคือพระสมเด็จจริง วัดใหน อายุเท่าไหร่ ก็ได้แต่หาข้อมูลไปเรื่อยๆ ... มีปาฎิหาริ์เกิดขึ้น ครั้งหนึ่งหลังจากลาสิกขาจากวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เช้าวันนั้น เปลี่ยนชุดเป็นฆราวาสเรียบร้อยก็ตัดสินใจเป็นคนอาสาขับรถพาพ่อกับแม่ที่มาสึกเรา กลับไปส่งที่ จ.หนองคาย บ้านเกิดผม  .... ระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร ออกจากกรุงเทพ ประมาณ 08.00 น. ขับไปเรื่อยๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกระทั่งมาถึง ก่อนเข้าตัวเมืองอุดรธานี ซัก 50 กม. เริ่มมืดจำได้เวลาราวๆ  ทุ่มกว่าๆ บังคับพวงมาลัยอยู่ดีๆ ปรากฏว่ารู้สึกเหมือนรถยางแตก บังคับพวงมาลัยไม่ได้ ... ด้วยความตกใจก็เลยแตะเบรก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนทุกอย่างมันหลุดแยกชิ้นส่วนออกจากกันไปแล้ว ... รถพุ่งไปด้านขวาสุดเหมือนจะตกขอบถนนซึ่งเป็นคลองลึกอยู่เหมือนกัน หักพวงมาลัยออกแต่หน้ารถก็ยังมุ่งหน้าไปทิศเดิม เบรกยังไงก็ไม่อยู่ จะลงคลองท่าเดียว มองไปข้างหน้าเห็นเสาไฟกับเสาข้างถนน(เสาลาย) ในใจก็คิดเอายังไงดีพ่อกับแม่ก็นั่งอยู่ในรถน่าจะยังไม่รู้ตัว ระหว่างนั้นหน้ารถก็หันออกจากทิศทางที่จะชนเสาทั้งสอง ทั้งๆที่ก่อนนี้บังคับยังไงก็ไม่ไป ลองเบรกอีกครั้ง รถก็หยุด ... รีบลงมาดูไต้ท้องรถ ทุกอย่างปกติ ยางก็ไม่แบน ... แต่พอเงยหน้ามองไปขางหน้า ...โอ้วววว ... ในความมืดที่ยังพอมองเห็นได้สลัวๆ รถยนต์เกือบ 30 คัน ตกลงไปในคลอง บางคันชนท้ายกันติดอยู่บนถนน เสา บางคันข้ามคลองไปฝั่งตรงข้าม ที่หนักสุด รถทัวน์คว่ำตะแคงข้างอยู่เบื้องหน้าห่างกันไม่ถึง 10 เมตร .... จนทุกวันนี้ยังงงกับเหตุการไม่หาย ด้วยความตกใจและยังพอมีสติอยู่บ้างคิดว่ายังไงก็ไม่รอด ตกคลองชัวส์ และก่อนตกต้องชนเสาก่อน ... ชั่งวูบเหมือนมีสิ่งที่มองไม่เห็นดันหน้ารถออกแล้วก็เบรกด้วยการหยุดรถทันที .... หลังจากตั้งสติได้ถามคนแถวนั้นเค้าบอกว่ามีรถน้ำมัน น้ำมันรั่วยาวเป็นกิโลเลย พอมีฝนโปรยลงมานิดหน่อยน้ำมัยเลยกระจายทั่วถนน .....ราวๆ 10 นาทีต่อมา รถโรงพยาบาลกับรถตำรวจค่อยมาถึง...
                หากพี่น้องหรือผู้เชี่ยวชาญผ่านมา จะรบกวนท่านหน่อยครับ ... อยากทรายว่าพระที่แสดงในภาพคือพระอะไรกันแน่ ... ด้วยความศรัทธาเต็มหัวใจแล้วตอนนี้ ท่าน Comment ในนี้ได้เลยหรือติดต่อผ่าน e-mail มาก็ได้ครับ .... ขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม ...

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Emergency Claim Online : ความอึดอัดใจของชาว รพ.เอกชน นอกเครือข่ายคู่สัญญา

EMCO(Emergency Claim Online) : การให้บริการผู้ป่วยกรณีอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน 3 กองทุน
นับเป็นอีกนโยบายระดับประเทศที่ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บจะได้รับสิทธิ์การรักษาอย่างเท่าเทียมในการรับการรักษาพยาบาล กรณีบาดเจ็บ - ฉุกเฉิน ... ข้อดีของโครงการชัดเจนว่าการเขารับการรักษาเร่งด่วนนั้นจำเป็นสำหรับชีวิตทุกคน ไม่ว่าจะ เป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไต อีกสารพัดโรคที่ใครๆก็ไม่อยากเป็น ตามภาษิตไทยที่ว่า "การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ประเด็นอยู่ที่ว่า
ผู้รับบริการ(ขอเรียกผู้ปวยครับ) คนไทยทุกคนที่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก จะมีสิทธิ์การรักษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 1 สิทธิ์ ภายใน 3 กองทุน นั่นก็คือ
1.บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองหรือบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค ก็คือ อันเดียวกันครับแล้วแต่ใครจะเรียก สมัยแรกเริ่มเก็บค่าบริการ 30 บาทยกเว้นบางกรณี สมัยต่อมายกเลิกเก็บ และต่อมาอีกร่วมจ่าย 30 บาทบางกรณี ถ้าอธิบายจะยาวยืดเอาเป็นว่าถ้าอยากทราบข้อมูลละเอียดเข้าตามลิงค์นี้ครับ>>>www.nhso.go.th<<< มีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เป็นผู้ดูแลกองทุนนี้ แน่นอนว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ ได้สิทธิ์นี้ครับเพราะถ้าไม่มีสิทธิ์ใดๆท่านจะได้รับโดยอัตโนมัติ** เพื่อนๆชาวต่างๆชาติจากอเมริกา ออสเตรเลีย จีน เค้าชมว่าระบบนี้ทำให้คนไทยมีสวัสดิการที่ครอบคลุมประชากรได้ครบถ้วน เมืองที่เจริญแล้วอย่างอเมริกา ออสเตรเลีย ยังทำไม่ได้เลย อันนี้เป็นความเห็นเพื่อนเค้าฝากมาครับ :)
2.ประกันสังคม กองทุนนี้คนทำงานภาครัฐที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ ภาคเอกชน หรืออื่นๆ ที่มีนายจ้าง จะได้สวัสดิการก็ต่อเมื่อเราส่งเงินสมทบกองทุนจากการหักเงินเดือนรายเดือนของเรา ตามกฎหมายหัก 7% ของเงินเดือน ย้ำจากฐานเงินเดือนนะครับแต่หักจากเงินเดือนได้ไม่เกิน 15,000 บาท ก็คือเงินเดือนน้อยกว่า 15,000 บาทก็คิด % เอา ส่วนใครเงินเดือนสูงหน่อยก็จ่ายไม่เกิน 750 ครับ ... ปี สอง ปี ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคม(สปส.)ประกาศลดเงินสมทบให้ส่ง 3% บ้าง 4% บ้าง ตามสภาวะทางเศรษฐกิจ ... จริงๆเจ้านี้เค้ามีเงินเยอะมากครับ เนื่องมาจากประชากรไทยวัยทำงานมีจำนวน 42 ล้านคน อ้างอิงจาก >>http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsr-th/population_thai.html<< จำนวนผู้ส่งเงินสมทบประมาณ บวกลบ 12 ล้านคน คิดเล่นๆ เฉลี่ยๆ ต่อหัว เอาตัวเลขกลมๆ 500 บาท ต่อหัวส่งเงินสบทบ ตกเดือนละ 6,000,000,000 ....  แม่เจ้า!!!   6 พันล้านบาทต่อเดือน ..... แต่ก็มีเสียงบ่นจากผู้ประกันตนเป็นระยะว่าไม่เป็นธรรมบ้าง ไม่ได้รับความสะดวกบ้าง ทั้งๆที่เป็นกองทุนสวัสดิการเดียวที่ผู้ได้สิทธิ์ต้องจ่ายเงินตามกฎหมายซะด้วย...เฮ้อออ... คนหาเช้ากินค่ำอย่างผมก็อยู่ในกองทุนนี้เช่นกัน ....
3.สวัสดิการข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ เข้าตำราสิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง จริงอย่างโบราณว่า ข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ จะได้รับสิทธิ์นี้เมื่อบรรจุรับราชการเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวสายตรง พ่อ แม่ บุตร ภรรยา สามี ตามกฎหมายก็จะได้สิทธิ์จากท่านด้วย
   นี่คือ 3 กองทุนที่กำลังกล่าวถึงครับ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2555 รัฐบาลประกาศใช้ EMCO โดยผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ทุกโรงพยาบาลโดยโรงพยาบาลไม่ต้องถามถึงสิทธิ์การรักษา ต้องให้การรักษาโดยประเมินตามเกณฑ์ที่ประกาศ เอาแบบเข้าใจง่ายๆ มีอยู่ 3 สีคือ เขียว เหลือง แดง รายละเอียดซึ่งผมว่าไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ลองศึกษาดูตามลิงค์ >>http://emco.nhso.go.th/<< น่ายินดีอย่างยิ่งคนไทยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงอย่างทันท่วงที ฟังๆดูก็ไม่มีอะไรน่าอึดอัดเลยตามหัวข้อนิ...ฮ่าๆๆๆ ยังครับยังไม่จบ มีอีกนิดหน่อย 
    โรงพยาบาลภาครัฐทั้งหมด โรงพยาบาลภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการรับเงินสนับสนุนจาก สปสช.(โรงพยาบาล30บาท) สำนักงานประกันสังคม(สปส.) มีการบริหารจัดการทรัพยากร บุคลากรในการดูแลรักษาอย่างดีสามารถให้บริการได้อย่างครบถ้วนตามหลักวิชาการ ในประเทศไทยยังมีกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอีกกลุ่มหนึ่งที่แยกตัวออกจาก 3 กองทุนนี้โดยไม่ได้มีการรับเงินสนับสนุนใดๆจากภาครัฐ ต้องยอมรับว่าโรงพยาบาลเหล่านี้มุ่งสร้างมากกว่ามาตรฐานของตนเองให้โดดเด่นภายได้การบริหารจัดการทรัพยากร บุคลากรด้วยตนเอง จะว่าไปแล้วอย่างที่รู้ๆกันคือใครพอมีกำลัง หรือต้องการความสะดวกสบายที่มากกว่ามาตรฐานก็ไปใช้บริการกัน ... ในมุมมองผมเองไม่ได้มองว่าสิ่งนี้เกินเลยหรือแปลกแยกให้เกิดความแตกต่างหรือเหลื่อมล้ำทางสังคม ผู้ป่วยสิทธิ์ประกันสังคมก็รับบริการได้ บัตรทองก็ไปได้ หรือ ข้าราชการ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ให้คนไทยหรือชาวต่างชาติที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นในการเลือกบริการของโรงพยาบาลเอกชนเหล่านั้น ขอกล่าวถึงแต่ไม่ได้แอบอ้างพอให้ท่านได้จินตนาการถึง รพ.ที่ว่าแถวๆหรือไกล้ๆ ถนนเพชรบุรี ถนนพระราม 6 ถนนศรีนครินทร์ ถนนพหลโยธิน ถนนสาธร ถนนบางนา อีกมากมาย
     เหล่านี้มุ่งมั่นสร้าง สรรหาวิทยาการใหม่ๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รูปแบบการบริการ อาคารสถานที่อำนวยความสะดวก สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับสากล เมื่อ EMCO ได้เริ่มโครงการทุกโรงพยาบาลก็ได้รับการเชิญให้เข้าร่วมโดยปริยาย...:) ดีสำหรับคนไทยจริงๆ อันนี้จากใจครับ ... ตามมาตรฐานการรักษาพยาบาลแล้วทุกโรงพยาบาลต้องให้บริการอย่างเต็มความสามารถเพื่อช่วยชีวิตหรือช่วยให้การเจ็บป่วยนั้นบรรเทาเบาบางลงไป พ้นขีดอันตรายหรือพ้นความเสี่ยงต่อชีวิต ... ด้วยขีดความสามารถเต็มที่ที่มีรู้กันดีว่าโรงพยาบาลกลุ่มนี้ก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว ... อีกอย่างที่ขึ้นชื่อเหมือนกันคือค่าใช้จ่าย บางที่จะบอกว่าแพงเกิ๊น ก็ไม่ผิด ... แต่พอกลับมาคิดที่มาของราคา การมีอะไรที่แตกต่างของโรงพยาบาลเหล่านั้นเค้าสร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงเค้าเองล้วนๆ ปราศจากการสนับสนุน... ในฐานะที่อยู่ในวงการ เคยเป็นทั้งผู้รับบริการ ผู้ร่วมให้บริการ เลยมีคำถามในใจตลอดมาว่า
     มาดูขั้นตอนกันว่า Step เยอะขาดใหน
ผู้รับบริการเข้ารับบริการ ---> แพทย์,พยาบาล ให้การรักษาพยาบาล ---> ระหว่างนั้นก็ประเมินเกณฑ์ เขียว เหลือง แดง ไปด้วย ---> ผู้รับบริการ/ญาติจำนงค์ขอใช้สิทธิ์ 3 กองทุน ---> โรงพยาบาลส่งเรื่องเบิกค่ารักษาพยาบาลจาก 3 กองทุน ---> โรงพยาบาลรอลุ้นผ่าน/ไม่ผ่าน ---> กรณีผ่านรอจ่ายค่าชดเชย ไม่ผ่านก็ไม่ได้รับค่าชดเชย ---> ถ้าไม่ผ่านต้องยื่นอุทธรณ์ ---> กลับไปที่ สปสช.(อ้อลืมแจ้งไปครับ เค้าเป็น Clearing house) กลับไปกลับมา มีให้ตั้ง 3 รอบแน่ะครับ
เพื่อไม่ให้เคลียดเกินไป ยกตัวอย่างตามการ์ตูนนะครับ

.......................โรงพยาบาลเหล่านี้ ร่วมให้บริการ ใช้ทรัพยากรตัวเองทุกอย่าง บุคลากรตัวเองทุกกระบวนการ อำนวยความสะดวกผู้รับบริการทุกขั้นตอน จนกระทั่งสิ้นสุด .............. ผู้รับบริการเข้าใจก็ดีไปอันนี้ต้องขอขอบคุณท่านจริงๆ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ต่อว่า ด่า ขู่เข็ญ ร้องเรียน สารพัดวิธี ....... บางทีก็เข้าใจนะครับว่าเค้าก็ไม่รู้จะไปต่อว่าใคร เจอใครก่อนก็รับไป..... บางทีก็คิดนะท่านว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ .... เฮ้อออออ ... ไม่ไหวเลยหาทางออก ดังที่ท่านได้อ่านมานั่นแหละคร้าบ ...

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หยุดซักพัก...ให้สมองได้คุยกับหัวใจ

          ห่างหายมานานม๊วกก ตั้งแต่เปลี่ยนสถานที่ทำงานจำความได้ก็ 1 April 2012 ที่ไม่ได้มีเวลามา Up blog จาก Blog จนกลายเป็น Block ไปอัตโนมัติ ... ยังไงซะพื้นที่ตรงนี้ก็ขอเล่าเรื่องราวไว้ช่วยเตื่อนความจำนิดหน่อย ... เริ่มโตมากขึ้นเรื่อยๆ มีมุมมองในการคิดมากขึ้น จนบางครั้งต้องเสียดายกับความคิด การกระทำในอดีต ว่าคิดไม่เป็นหรือไม่ได้คิดกันแน่ นี่แหละครับที่ว่า "ประสบการณ์" สอนกันไม่ได้ ไม่ได้เลยจริงๆ หลายครั้งผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ก็คอยเตือนคอยสอนนะแต่ด้วยที่มั่นใจว่าเราก็คือเราจะไปเหมือนเค้าได้อย่างไรก็เลยลองใหม่ผิดถูกยังไงจะได้รู้เอง ก็เลยออกมาแบบนี้เลย .... บางอย่างขาดจนต้องชดใช้ซ่อมแซมอีกนาน .... บางอย่างเกินคาด ดีเกิน หรือ ภาษาวัยรุ่นบอก "ดีเกิ๊น" ก็เกิดขึ้นแล้ว
          เผื่อลืมเขียนไว้ก่อน.... E-mail ที่ใช้ประจำทั้ง Thanawat_chailert@hotmail.com และ Medcoder@hotmail.com ถูก Block ไปเรียบร้อยแล้ว ข้อสังเกต Microsoft แจ้งว่ามีคนพยายามใช้หรือพยายาม Login Account เราทำให้งดใช้ชั่วคราวจนกว่าเราจะยืนยันตัวตนเองได้ว่าคือเราจริงๆ พยายามแล้วพยายามอีกที่จะกู้ข้อมูลแต่ไม่เป็นผล ไม่เป็นไรถือคติที่ว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป" เป็นธรรมะจริง อ้อ ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ นั่นเอง ฮ่าๆๆๆ ....
..... ยังไม่ถึงใหนตามที่ตั้งหัวข้อไว้ ไงขอประกาศไปก่อนแล้วจะกลบมาเขียนใหม่คร้าบบบ ..:)